กาฬสินธุ์ -
คณะกรรมการตรวจสอบทุจริตโครงการ 9101
ฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดกาฬสินธุ์เช็คเส้นทางการโอนเงินของกลุ่มชุมชนบัวบาน
พบโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเอกชนรายเดียว แต่บิลใบเสร็จรับเงินกลับเป็นคนละร้าน
เตรียมประสานพรรพากรและพาณิชย์เข้าตรวจสอบ
จากกรณีชาวบ้านพบความผิดปกติการซื้อปัจจัยการผลิตโครงการ
9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี
เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลดในหลายพื้นที่ของ
จ.กาฬสินธุ์ราคาสูงกว่าท้องตลาด โดยเฉพาะ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด และ อ.นาคู
อ.กุฉินารายณ์ อ.ห้วยผึ้ง เขาวง และ อ.สมเด็จ
เนื่องจากมีการจัดซื้อปัจจัยการผลิตราคาแพงกว่าท้องตลาด
จนชาวบ้านต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าร้องทุกข์กับพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมเรียกร้องให้ตรวจสอบ
ล่าสุด พ.อ.มานพ ไขขุนทด รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์
ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
ภายใต้ร่มพระบารมี
เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด จ.กาฬสินธุ์
กล่าวว่า คณะกรรมการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์
ได้เข้าตรวจสอบเส้นทางการโอนเงินโครงการ 9101 ของ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์
ทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มชุมชนบัวบาน 1 และชุมชนบัวบาน 2 กับธนาคาร ธ.ก.ส.สาขาโคกศรี
อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์
โดยจากการตรวจสอบพบว่าเงินที่ถูกโอนมาจากสำนักงานเกษตรกร จ.กาฬสินธุ์
เพื่อเข้ามายังบัญชีของคณะกรรมการระดับชุมชนทั้ง 2 กลุ่ม รวม 11 โครงการ เป็นเงินกว่า
6,400,000 บาทนั้น
ทางคณะกรรมการของชุมชนได้โอนไปยังบัญชีของกลุ่มเกษตรกรแต่ละกลุ่มทั้ง 11
กลุ่มตามขั้นตอน ก่อนที่กลุ่มต่างๆจะโอนต่อไปยังบัญชีร้านค้า (ร้านด็อกเตอร์เกษตร)
ซึ่งเป็นร้านคู่สัญญาที่จัดส่งปัจจัยการผลิตทั้งหมด และบางส่วนเบิกเงินสดแล้วนำไปจ่าย
(แฟ้มภาพ)
โดยขั้นตอนดังกล่าวถือว่าเป็นการทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
แต่สิ่งที่ผิดระเบียบคือการที่คณะกรรมการชุมชนทั้ง 2 กลุ่ม
ซึ่งที่เรียกว่ากลุ่มใหญ่
และส่วนใหญ่เป็นผู้นำชุมชนกลับไปทำสัญญาจัดซื้อปัจจัยการผลิตเองกับร้านด็อกเตอร์เกษตร
ซึ่งเป็นการทำผิดระเบียบ เพราะตามระเบียบของกระทรวงเกษตรฯจะต้องให้กลุ่มเกษตรกร
หรือที่เรียกว่ากลุ่มเล็ก
ที่เป็นผู้เดือดร้อนเป็นคนทำสัญญาหรือจัดซื้อปัจจัยการผลิตเอง
และจากการตรวจสอบเอกสารบิลใบเสร็จรับเงินการจัดซื้อปัจจัยการผลิต
โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวเลือกทั้งหมดพบว่า เป็นใบเสร็จของร้านบุญมาพาณิชย์
ไม่ใช่บิลใบเสร็จจากร้านด็อกเตอร์เกษตร
ซึ่งบิลใบเสร็จจากร้านด็อกเตอร์เกษตรมีเพียงการจัดซื้อพันธุ์กบและพันธุ์ปลาดุกเท่านั้น
ซึ่งเรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะคู่สัญญา และการโอนเงินทั้ง 11
โครงการเป็นร้านด็อกเตอร์เกษตร แต่ใบเสร็จกลับเป็นร้านบุญมาพาณิชย์
ดังนั้นทางคณะกรรมการจะประสานไปยังสรรพากรและพาณิชย์จังหวัด
เพื่อเข้าตรวจสอบร้านทั้ง 2 แห่ง
(แฟ้มภาพ)
อย่างไรก็ตามที่สำคัญสาเหตุใดทางคณะกรรมการชุมชนจึงต้องทำสัญญาจัดซื้อเอง
ทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่จัดซื้อ ซึ่งเป็นการจงใจ
เจตนาเข้าไปครอบงำการจัดส่งของหรือไม่ อีกทั้งที่ผ่านมามีการประชุมกลุ่มเกษตรกร
เพื่อทำความเข้าใจ และมีการตั้งประธานกลุ่ม คณะกรรมการ เหรัญญิก
และเลขาในระดับกลุ่มเล็กตามระเบียบหรือไม่
เพราะเท่าที่ขอตรวจสอบเอกสารรายชื่อกลุ่มสมาชิกเกษตรกร
และบันทึกการประชุมเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการกลับไม่สามารถนำมาให้ตรวจสอบได้
พ.อ.มานพ
กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบนอกจากจะพบการซื้อพันธุ์ข้าว สารปรับปรุงดินแพง
และการจัดส่งพันธุ์กบให้กับเกษตรกรที่ผิดสเปก จากพันธุ์กบเล็ก
เป็นการแจกจ่ายกบใหญ่ ซึ่งอ้างว่าเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์แล้วนั้น
ยังพบการแจกจ่ายหัวอาหาร ซึ่งเป็นหัวอาหารปลาดุกที่ผิดประเภท
ทั้งนี้แม้หัวอาหารปลาดุกจะใช้แทนหัวอาหารกบได้ก็ตาม
แต่เท่าที่ตรวจสอบราคาหัวอาหารปลาดุกที่นำมาแจกให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงกบนั้นเป็นหัวอาหารปลาดุกขนาดใหญ่
โปรตีนไม่ต่ำกว่า 25 % มีการจัดส่งในราคากระสอบละประมาณ 600 บาท และตามท้องตลาดจะจำหน่ายในราคากระสอบละไม่เกิน
450 บาท แต่ถ้าเป็นหัวอาหารของกบโดยเฉพาะราคาจะอยู่ที่ 600-620 บาท
ซึ่งราคาหัวอาหารปลาดุกและหัวอาหารกบจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ดังนั้นจึงถือเป็นการเลี่ยงนำหัวอาหารปลาดุกมาแทนเพื่อที่จะได้กำไรมากที่สุด
(แฟ้มภาพ)
ในส่วนของพื้นที่
อ.กุฉินารายณ์ที่คณะกรรมการตรวจพบบริษัทเอกชนจัดส่งปัจจัยการผลิตรายเดียวทั้ง 39
โครงการ งบประมาณกว่า 23 ล้านบาท
และมีบริษัทเอกชนส่งราคาเข้ามาแข่งขันหรือประกบราคารายเดียวเช่นกันและแพ้ทั้ง 39
โครงการนั้น ทางคณะกรรมการจะลงพื้นที่ตรวจสอบร้านทั้งสองแห่ง และจะลงสุ่มตรวจสอบการจัดส่งปัจจัยการผลิตกับเกษตรกรในพื้นที่ว่าปัจจัยการผลิตที่ได้รับมีราคาแพงและเหมาะสมกับเงินช่วยเหลือรายละ
5,000 บาทหรือไม่
ยุทธนา เกียรติดำเนินงาม - ภาพ/ข่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น